วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2552

ผักคะน้า..ที่ไม่ธรรมดา


ผักคะน้า ไม่มีใครปฏิเสธว่าไม่รู้จัก เพราะเป็นผักที่มีขายอยู่ทั่วไป หาซื้อง่าย นำไปประกอบอาหารได้หลายชนิด และยังเป็นส่วนประกอบ ใส่ลงในก๋วยเตี๋ยวหลายอย่างได้อร่อย เช่น ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า ก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ๊ว และยังเป็นของเคียงกับ อาหารยำต่างๆ ได้ดีอีกด้วย แถมราคาไม่แพง รสชาติดี ยิ่งเมื่อเริ่มเข้าหน้าหนาว ผักจะสวย ราคาถูกเป็นพิเศษ อาจจะเป็นเพราะ ผักชอบอากาศหนาว เลยทำให้ผักสวย และได้จำนวนการผลิตมาก คะน้า เป็นผักที่ปลูกได้ทุกท้องที่ และภูมิอากาศ ช่วงระยะเวลาที่ปลูก จนถึงเก็บเกี่ยวสั้น ประมาณ 45 วัน ใช้พื้นที่ในการปลูกไม่มากนัก เสียแต่ว่าผักคะน้า จะมีศัตรูพืชมาก โดยเฉพาะหนอนและเพลี้ย สาเหตุนี้เอง เลยทำให้ผู้ที่ปลุกใช้ยาฆ่าแมลง และสารเคมีต่างๆ เพื่อไม่ให้ผักเสียหาย จึงทำให้ผักคะน้า เป็นผักที่ไม่ค่อยปลอดสารพิษ แต่ในปัจจุบันนี้ ได้มีการทำผักปลอดสารพิษกันมาก จึงทำให้ผู้บริโภค ได้ความปลอดภัยมากขึ้น

- ดังนั้น เวลาที่จะซื้อมาบริโภค ก็ควรเลือกที่ไว้ใจได้ ถ้าพอมีที่ทางมาลองปลูกคะน้าไว้กินเอง ก็จะเป็นการดีกินได้สบายใจ เมล็ดคะน้าสีจะออกดำๆ มีบรรจุซองขายนำมาแช่น้ำ 1 คืน แล้วโรยลงบนดิน ที่ผสมปุ๋ยหมักเตรียมไว้ คลุมด้วยฟางหรือหญ้าแห้ง พองอกต้นอ่อนๆ ค่อยย้ายลงแปลงหรือกระถาง พอต้นสูงประมาณ 10 เซนติเมตร ถอนต้นอ่อนบางส่วนออก บางต้นที่ถอนออก จะเป็นลูกคะน้า ผัดไฟแดงอร่อยมาก เพื่อจะได้เปิดช่องว่าง ให้ต้นที่แข็งแรงกว่าเติบโต รดน้ำให้ชุ่ม ใส่ปุ๋ยบ้าง เป็นครั้งคราว ประมาณ 45 วัน คะน้าจะโตเต็มที่ ให้ตัดยอดรุ่นแรกไปกินได้ ให้เหลือโคนต้นพอประมาณ ต้นคะน้าจะแตกยอดใหม่ ให้กินได้อีก 2-3 ครั้ง แต่ระวังหนอนผักหน่อย ถ้าเจอรีบเขี่ยออก มิฉะนั้นคะน้าจะเหลือแต่ตอใบเขียวจัดของคะน้า เป็นแหล่งรวมแร่ธาตุวิตามิน ที่คับคั่งและเข้มข้น ที่พบมากมายมหาศาล ก็คือเบต้า-แคโรทีน ที่กำลังมาแรง

- ในแวดวงอาหารเสริมสุขภาพเบต้า-แคโรทีน คือหนึ่งในสารประมาณ 500 ชนิด ที่รวมอยู่ในกลุ่ม "แคโรทีนนอย" ซึ่งเมื่อถ่ายโอนจากผัก สู่ร่างกายมนุษย์ จะกลายเป็นฐานในการแปรรูปสู่วิตามินเอ ซึ่งมีการค้นพบมานานแล้วว่า เป็นวิตามินที่สัมพันธ์ กับการเกิดมะเร็ง โดยในเลือดของผู้ป่วยโรคนี้ ได้รับการ วิเคราะห์พบว่า มีวิตามินเออยู่ในปริมาณต่ำ ขณะเดียวกัน การกินวิตามินเอให้เพียงพอ ช่วยลดความเสี่ยงต่อ การเกิดมะเร็งที่กระเพาะอาหาร ลำไส้ ลำคอ ปอด และกระเพาะปัสสาวะได้ และมีการค้นพบข้อเท็จจริง ชัดเจนขึ้นอีกว่า สารที่ไปยั้งมะเร็งนั้น ไม่ใช่วิตามินเอโดยตรง แต่ได้แก่สาร เบต้า-แคโรทีนต่างหากแต่ละวันมนุษย์จะได้รับวิตามินเอ จากอาหารประเภทเนื้อสัตว์ และพืชผัก-ผลไม้ โดยวิตามินเอจากสัตว์นั้น มนุษย์รับมาใช้ประโยชน์ได้เลยโดยตรง เมื่อร่วมกินกับไขมัน แต่สำหรับพืช ซึ่งมีโครงสร้างต่างจากสัตว์และมนุษย์ วิตามินเอจะอยู่ในรูปของแคโรทีนนอย ซึ่งร่างกายมนุษย์ ต้องนำมามาแปรรูปให้เป็น วิตามินเอต่อไป ด้วยกระบวนการทำงานประสานกัน ของระบบอวัยวะและแร่ธาตุสารอาหารต่างๆคะน้าและพืชร่วมสกุลกะหล่ำ เป็นแหล่งเบต้าแคโรทีนอันเยี่ยมยอด จะเอาไปล้างหรือปรุง ด้วยความร้อนในรูปใด ก็ยังคงคุณค่ามหาศาลนี้เอาไว้ได้ แต่หากกินสดได้จะวิเศษมาก เพราะของดีที่มีในคะน้าอีกลหายอย่าง ต้องการการประคบประหงม เช่นวิตามินซียอดคะน้าสด อุดมไปด้วยวิตามินซี และเกลือแร่จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินซี ซึ่งช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อ ให้ชุ่มชื้น และทำให้ระบบภูมิคุ้นกันโรค แข็งแรงสมบูรณ์น้องๆ เบต้า-แคโรทีน แต่วิตามินซีสลายไปได้ง่าย ด้วยน้ำและอากาศ ฉะนั้น กินคะน้าเมื่อไหร่ ต้องชะลอการหั่นไว้ ในขั้นตอนสุดท้าย เมื่อเห็นคะน้าต้องนึกถึงความกรอบ น่ากิน และรสดีของคะน้า เสน่ห์ของผักคะน้า จึงทำให้มีผู้บริโภคกันมาก นำมาประกอบเป็นอาหารหลากหลาย

- ข้อสำคัญระวังเรื่องผักไม่ปลอดสารพิษ ควรเลือกดูก่อนซื้อมาบริโภค สิ่งที่สำคัญ เพื่อความแน่ใจในการบริโภค คือ ต้องล้างผักให้แน่นใจ ก่อนนำไปบริโภค การล้างผักคะน้า ที่ใบคะน้ามีไขสีเท่าเคลือบเอาไว้ บางคนสงสัยว่าเป็นสารเคมีหรือเปล่า ที่จริงไม่ใช่ ไขขาวๆ ที่เห็นนัน้เป็นสารธรรมชาติ ไม่มีพิษภัย แต่ซึมซับเอาละอองยาฆ่าแมลงได้ดี ฉะนั้น ยามล้างใบคะน้า จึงควรลูบไขขาวๆ นี้ออก หรือหากใส่เกลือ หรือโซดาไบคาร์บอเนต ไม่ก็เหยาะน้ำส้มสายชูสักหน่อย วิธีใดวิธีหนึ่ง ช่วยกำจัดยาฆ่าแมลงออกได้ ที่ดีกว่าการล้าง คือ การเลือกคะน้าที่มีรอยแมลงกิน แสดงว่าปลอดภัย หลากหลายวิธีที่ช่วยให้คุณรับประทานคะน้า ได้อย่างปลอดภัย และรู้จักประโยชน์ของผักคะน้ามากขึ้น


มารยาทในที่ทำงาน

มารยาทในที่ทำงาน มีข้อควรปฏิบัติดังนี้

1. “คนและบริษัท” บริษัทประกอบไปด้วยหลายสิ่งหลายอย่าง แต่ที่สำคัญที่เราต้องมีมารยาท ที่ดีด้วยก็คือคน ผู้ที่เข้ากับคนอื่นไม่ได้ดีก็ย่อมทำงานไม่ได้ จำได้ว่าเคยเขียนให้อ่านครั้งหนึ่งว่า “ไม่มีความชำนิชำนาญใดๆมาทดแทนความชำนิชำนาญในการเข้ากับบุคคลอื่นได้” การอยู่ในบริษัทประการแรกที่เราต้องกระทำดีต่อ หรือมีมารยาทที่ดีต่อก็คือการเข้ากับเพื่อนร่วมงานให้ได้ คำว่า “เอาใจเขาใส่ใจเรา หรือเอาใจเราใส่ใจเขา” หรือเอาทั้งใจเราใจเขามาใส่ทั้งในเราใจเขาก็ช่างเถอะ มีความหมายที่ดีทั้งนั้น แปลรวมความว่านึกถึงเขาบ้าง ว่าเขาหรือคนอื่นจะคิดอย่างไร ถ้าเราทำอย่างนี้ ถ้าคำตอบว่า”ไม่แน่ใจ” หรือ”คงไม่ชอบมั้ง” หรือ “ช่างเขาเถอะ” ละก้อ อย่าทำเลย เพราะ ล้วนแต่สิ่งที่ไม่มีมารยาททั้งสิ้น “ปลูกไมตรีอย่ารู้ร้าง...”นะเป็นเรื่องจำเป็นเหลือเกิน

2. “กฎระเบียบของบริษัท” นี่คือมารยาทที่สำคัญประการที่สองในการอยู่ในที่ทำงาน กฎเกณฑ์ หรือระเบียบต่างๆล้วนตั้งขึ้นมาเพื่อให้พวกเรา-ซึ่งมีอยู่มากมายได้อยู่ร่วมกัน อยู่ภายใต้ชื่อบริษัท เดียวกันได้อยู่ได้ในมาตรฐานเดียวกัน ได้รับการปฏิบัติจากบริษัท จากเพื่อนร่วมงานเหมือนกัน รวมทั้งจะได้รับสิ่งต่างๆในมาตรฐานเดียวกัน ดังนั้นกฎระเบียบตั้งขึ้นเพื่อพวกเราเองโดยแท้ ผู้ที่มี มารยาทในที่ทำงานจึงต้องเคร่งครัดในการปฏิบัติตาม อย่ามองว่าระเบียบมากมายอึดอัด ไม่ต้อง มีระเบียบเราก็ทำดีอยู่แล้ว คำพูดนี้นึกถึงนักเรียนที่เคยสอน เมื่อก่อนเป็นครูใจร้าย ใครไม่ท่อง ศัพท์ที่กำหนดให้แต่ละวันจะต้องถูกตีด้วยไม้บรรทัดพลาสติก 2 อันควบกัน แล้วก็หัก ครูก็จ่ายไป 2 หรือ 3 บาทแล้วแต่ราคาสมัยโน้น..น.(พวกเรายังไม่เกิดนั่นนะ) “...นักเรียนก็โวยว่าครูไม่เห็นต้องตีพวกเราก็ท่องอยู่แล้ว ทำไมต้องตีด้วย ครูก็บอกเขาว่า นั่นไง ครูไม่ได้ตีคนที่ท่องศัพท์ ดังนั่นคนที่ ท่องศัพท์ก็ไม่เห็นต้องเดือดร้อนอะไร กฎอันนี้ไม่ใช้กับ พวกเธอที่ท่องศัพท์ แต่ใช้กับคนที่ไม่ท่องศัพท์”...” นักเรียนก็โวยว่าครูไม่เห็นต้องตีพวกเราก็ท่องอยู่แล้ว ทำไมต้องตีด้วย ครูก็บอกเขาว่า นั่นไง ครูไม่ได้ดีคนที่ท่องศัพท์ ดังนั้นคนที่ท่องศัพท์ก็ไม่เห็นต้องเดือดร้อนอะไร กฎอันนี้ไม่ใช้กับพวกเธอที่ท่องศัพท์ แต่ใช้กับคนที่ไม่ท่องศัพท์ต่างหากศัพท์ กฎระเบียบของบริษัทก็เหมือนกัน เราไม่ต้องไปอึดอัดเพราะกฎระเบียบก็คือ เกณฑ์ที่ทุกคนจะอยู่ได้สบายดี ถ้าอยู่อย่างสุภาพเรียบร้อยมีมารบาทในทุกเรื่องแล้วก้อเราก็ลืมได้ เลยว่ามีกฎระเบียบ บุคคลที่ไม่อยู่ในระเบียบข้อบังคับแปลว่าเอาเปรียบเพื่อน เพื่อนมาทำงาน เช้าตามเวลาที่กำหนด เรากลับมาสาย เพื่อนทำงานได้ตามเป้าหมาย เรากลับไม่ใส่ใจ.ฯลฯ อย่าง นี้ล้วนตกในหัวข้อมารยาทในที่ทำงานในหมวดว่าด้วยกฎระเบียบของบริษัท

3. "การพูดจากทักทายกับเพื่อนในบริษัท" มารยาทเรื่องนี้สำคัญมาก อย่างน้อยมาถึงที่ทำงาน กันก็ทักทายกันเสียหน่อยพอให้รู้ว่าเห็นเรา ไม่ใช่เรานั่งอยู่เธอเดินเข้ามาด้วยมาดอันเคร่งขรึมมาถึง ก็นั่งในทีโต๊ะทำงาน ไม่พูดจากับใครเลย อย่างนี้เดี๋ยวเพื่อนๆจะพากันเข้าใจผิดว่าได้บรรลุวิชา หายตัวได้แล้ว เพราะมีคนเข้ามาแล้วมองไม่เห็น ใครมีลูกแล้วก็หัดให้ทักทายพ่อแม่พี่น้องทุกวัน หัดอย่างไร ก็พอลูกตื่นมา พ่อแม่ก็ทักทายเสียก่อนว่า"สวัสดีลูก" อะไรทำนองนั้น ในที่ทำงานการ ทักทายกันถือเป็นมารยาทที่สำคัญมาก เพราะการทักทายจะทำให้วันนั้นเริ่มต้นด้วยความอบอุ่น สนิทสนมกัน อากาศจะบริสุทธิ์มากขึ้น และการทักทายก็คงเริ่มด้วยคำพูดในแง่บวกอย่างที่เคยได้ สอนอบรมไปกันแล้ว และต้องไม่เริ่มตอนเช้าด้วยการเอาเรื่องไม่สบายใจของตนเองมาเล่าให้เพื่อน ฟัง ไม่ว่าเรื่องแฟน เรื่องลูก หรือซื้อหวยไม่ถูก เพราะในตอนเช้าไม่มีใครอยากฟังนักหรอกในเรื่อง เหล่านั้น

4. "การติดต่อสื่อสารกันภายในบริษัท" ข้อนี้รวมทั้งการติดต่อสื่อสารระหว่างหัวหน้า ระหว่าง เรากับลูกค้า ระหว่างพวกเราด้วยกันเอง สิ่งหนึ่งที่อยากจะเน้นก็คือการติดต่อสื่อสารกันในทุก เรื่องที่พวกเราได้รับทราบมาจากสำนักงานใหญ่ บางครั้งบางคนก็ไปร่วมประชุมมา กลับมาก็ต้อง กลับมาก็ต้องมาบอกกล่าว มาเล่ากันให้ฟังอย่างชัดถ้อยกระทงความ เนื้อหา เหตุผล และแนวทางปฏิบัติไม่ใช่ ว่ากลับมาก็เริ่มเลย "อีกแล้วพวกเรา เหนื่อยกันอีกแล้ว..." มาบอกกล่าว มาเล่ากันให้ฟังอย่างชัดถ้อยกระทงความ เนื้อหา เหตุผล และแนวทางปฏิบัติ ไม่ใช่ ว่ากลับมาก็เริ่มเลย "อีกแล้วพวกเรา เหนื่อยกันอีกแล้ว..." อะไรทำนองนี้ อย่างนี้ไม่เรียกการสื่อสาร แต่เรียกว่าประชุมเพลิง

5. "บุคลิกส่วนตัวในที่ทำงาน" คำว่าบุคลิกหมายถึงพฤติกรรมโดยส่วนรวมของบุคคลนั้นที่ แสดงออกมาหรือกระทำออกมาในที่ทำงาน ตั้งแต่ความสะอาดของร่างกาย ความเพียงพอในการ การพักผ่อน การแต่งกาย การแต่งกายประหลาดอยู่คนเดียวในที่ทำงานไม่ใช่เรื่องโก้เก๋อะไร หรือ การทำงานในลักษณะหมดสภาพ "หนังสือปกสวยย่อมขายดี" ก็เคยพูดแล้ว ดังนั้นการกระทำ การคิด การแต่งกาย การพูดจา การติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่นทั้งหมดนี้คือ "บุลิคภาพส่วนตัวในที่ทำงาน" ลองสำรวจ และแก้ไขเสีย..คนเราย่อมพลั้งเผลอได้



ที่มา : http://www.geocities.com/trainingcons/home00162.html

มารยาทในห้องเรียน

มารยาทในห้องเรียนซึ่งมีวิธีปฏิบัติง่ายๆและหลายๆคนก็พอจะรู้จักและปฏิบัติได้ดังนี้




1. ต้องตั้งใจเรียน เป็นการแย่มากๆหากว่าเราจับกลุ่มคุยแข่งกับอาจารย์ที่สอนอยู่หน้าชั้นเรียนหรือสนใจในการอ่านหนังสือการ์ตูนมากกว่าบทเรียนในชั่วโมงทุกคนลองคิดดูว่าอาจารย์ผู้สอนเพียงคนเดียวไม่สามารถตะเบ็งเสียงแข่งได้


2. ไม่รบกวนสมาธิของผู้อื่น ถึงแม้เราจะเบื่อในวิชานั้นๆก็ไม่ควรไปชวนเพื่อนคุยหรือรบกวนใดๆก็แล้วแต่ถ้าเราไม่เข้าใจหรือสงสัยอะไรให้ยกมือถามอย่าไปถามเพื่อนขณะเรียนเพราะเพื่อนอาจเรียนไม่รู้เรื่องเพราะเรา


3. เชื่อฟังคำตักเตือนของอาจารย์ บางครั้งที่เราทำผิดหรือเราอาจจะดื้อรั้นกับอาจารย์ที่สอนอยู่ อาจารย์อาจจะต่อว่า ตักเตือนหรือตีก็ไม่ควรทำอวดดีหรือโต้เถียงใดๆทั้งสิ้น


4. แสดงนำใจต่อเพื่อนๆ บางครั้งเพื่อนของเรามาเรียนไม่ทันหรือขาดเรียนไปเราควรอธิบายวิชาที่เราพอจะสามารถอธิบายใหเพื่อนเราฟังได้ หรือเพื่อนขาดอุปกรณ์การเรียน ถ้าเรามีก็ควรจะแบ่งปัน เพราะในการเรียนเราต้องพึ่งพาอาศัยกันเมื่อทำกิจกรรมต่างๆอยู่แล้ว


5. มีความรับผิดชอบ นอกจากการเรียนในวิชาต่างๆแล้วยังต้องมีแบบฝึกหัดให้เราทดลองและเราจะต้องมีความรับผิดชอบโดยการทำส่งให้ครบตามกำหนดเวลา เพื่อไม่ให้มีนิสัยที่ไม่ดีติดตัว



ที่มา: www.bbznet.com/scripts/view.php?user=imnetworkkmitl&board=2&id=8&order=numview

วันอาทิตย์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2552

• เทคนิค การเรียนเก่ง

  • เทคนิค การเรียนเก่ง *


ข้อที่ 1: พกปากกาสี 12 สี ติดตัวทฤษฎีสี กล่าวไว้ ว่า สีจะสามารถเพิ่มการจดจำเนื้อหาต่าง ๆ ได้มากกว่า สีน้ำเงินที่เขียนตามปกติ จึงควรซื้อปากกาสีต่าง ๆ ติดตัวไว้ เวลาอ่านหนังสือก็ใช้ปากกาสีในการจดเนื้อหา ของ stabio ก็ดีนะ ทนหลายปีเลยแหล่ะ· สำหรับคนที่กลัวว่าจะจดไม่ทันก็ใช้วิธีจดเฉพาะเนื้อหาสำคัญพร้อมกับบันทึกเสียงไปพร้อม ๆ กัน แค่นี้ก้อสามารถจดจำได้แล้วล่ะ

ข้อที 2: ใช้สมุด note ที่ไม่มีเส้นการใช้สมุดNote ที่มีลายเส้นนั้นเหมือนเราอยู่แต่ในกรอบเส้นนั้น แต่ถ้าใช้สมุดnote ที่ไม่มีเส้นนั้นจะทำให้เราไม่มีกรอบในการเขียน เราอยากเขียนอะไรก็อยากเขียนได้ทั้งนั้น ปัจจุบันหาซื้อยาก ต้องลองหาแถว ร้านขายสมุดวาดรูปดูน่ะ

ข้อที่ 3: บันทึกงานออกมาในรูป Mind Map Or Pic.ถ้าเราอ่านหนังสือการ์ตูนตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว กับอ่านหนังสือ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราจะสามารถจดจำ การ์ตูนได้มากกว่า เวลาจดเนื้อหาบางอย่างอาจจะจดในรูปแบบ Pic. จะสามารถจดจำได้มากกว่า การบันทึกงานในรูปแบบของ Mind Map จะเป็นการแบ่งเรื่องหัวข้อใหญ่ต่าง ๆ เพื่อใช้ในการอ่าน อาจใช้ mind map เป็นรูปก็ได้

ข้อที่ 4: Mp3เราควรจะมี Mp3 เพื่อใช้ในการบันทักเสียงเวลาที่คุณครูสอนแต่ไม่สามารถฟังและเก็บเกี่ยวเนื้อหาได้ครบทุกอย่างหากเราอัดไว้ก็จะสามารถย้อนกลับไปฟังได้ หลาย ๆ ครั้ง ก่อนสอบ

ข้อที่ 5: เอาใจครูเอาใจครูในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเอาอกเอาใจครู หมายถึง ทำตัวตามสไตร์ที่คุณครูชอบ เพื่อเพิ่มความชอบของคุณครูในตนเอง เวลาเราชอบครูคนไหนก็อยากเรียนกับครูคนนั้น อยากส่งงาน ครู อยากเจอหน้าครู ก็จะทำให้เรียนเก่งยิ่งขึ้น เพราะ เราอยากเรียนวิชานั้น ๆ

ข้อที่ 6: พูดคุยกับปากกาก่อนสอบ หรือก่อนเขียนงานเราควรพูดคุยกับปากกาบ้าง“คุณหนูดี กับ ด็อกเตอร์ อะไรเนี่ยแหล่ะจำชื่อไม่ได้ ก็ใช้วิธีนี้จนเรียนจบปริญญา”

ข้อที่ 7: นั่งหน้าห้องนั่งหน้าห้องจะสามารถทำให้เราได้ยินมากกว่าคนที่นั่งข้างหลังเรา เห็นชัดกว่าคนข้างหลังเรา และสามารถถามครูได้มากกว่า ซึ่งมันเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วเทคนิคการเรียน


• Link http://blog.spu.ac.th/spufcontent5/2008/10/11/entry-1




Free CursorsMyspace LayoutsMyspace Comments

วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2552

• ประวัติของ Web blog

  • Web blog คืออะไร

BlogGang คือ "Web log" หรือเรียกสั้นๆ ว่า "blog" ชื่อดังกล่าวเริ่มใช้เมื่อเดือนธันวาคม ปี 1997 โดยผู้ที่คิดชื่อนี้คือ Jorn Barger "weblog" (เว็บ Blog) หมายถึงเว็บไซต์ส่วนตัว ที่ผู้สร้างหรือที่เรียกว่า blogger จัดทำขึ้นเพื่อเป็นที่บอกเล่าเรื่องราว สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน รวมทั้งแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เสนอบทความใหม่ๆ วิจารณ์ข่าวสารบ้านเมือง หรืออื่นๆ ที่ผู้ใช้เห็นว่าน่าสนใจ พร้อมกันนั้น ยังเปิดให้ผู้เยี่ยมชมได้สามารถแสดงความคิดเห็นต่อ topic ต่างๆ ที่ได้ตั้งขึ้นอีกด้วย
  • ประโยชน์ของ Web blog

Blog มีไว้เพื่อตอบสนองตัณหาของเจ้าของ blog ถึงแม้ว่า blog จะมีลักษณะหน้าตาคล้ายกัน แต่ blog แต่ละแห่งจะมีบุคลิกเฉพาะตัว แตกต่างกันไปเหมือนบุคลิก บาง blog แค่เล่าเรื่องชีวิตประจำวัน บาง blog เกาะติดข่าว บาง blog คุยเรื่องการเมืองหรือปรัชญา จงนั้นอาจแบ่งประโยชน์ได้หลายแบบด้วยกัน ซึ่งอาจจะแจกแจงได้ดังนี้
  • 1. เปิดตัวเองให้โลกรู้ เรื่องของ blog มักเป็นเรื่องราวของเจ้าของ blog เป็นการเล่าประสบการณ์หรือความคิดของเจ้าของ เป็นการถ่ายทอดความคิดความรู้สึกของเจ้าของ blog เป็นการระบายความเคลียดอีกทางหนึ่ง
  • 2. ทันข่าวทันเหตุการณ์ ประสบการณ์บางคนก็เป็นข่าวเห็นอีกหลายคนได้ ข่าวจาก blog หลายแห่งเป็นข่าววงใน บางคนเล่าเหตุการณ์หรืออุบัติเหตุที่เจอมา หลาย blog พูดถึงแนวโน้มหรือความเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ
  • 3. กลั่นกรองข้อมูล blog บาง blog จะมีการกลั่นกรองข้อมูลก่อนนำลง blog ทำให้ผู้อ่าน blog ไม่ต้องเสียเวลาในการกลั่นกรองข้อมูล เพราะมีการนำเสนอข้อมูลหรือมีไกด์ในการท่องเว็บ
  • 4. รายงานการท่องเว็บ เป็นวัตถุประสงค์หลักที่เป็นต้นกำเนิดของการทำ blog หลาย blog มีการลิงก์ไปยังเว็บที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาใน blog ซึ่งเป็นการแนะนำว่าเว็บไหนดีก็ไปที่เว็บนั้น
  • 5. การแสดงความคิดเห็น ไม่ว่าจะเป็นความในใจของเรื่องต่างๆ ความคิดเชิงสร้างสรรค์ หรือการบ่นที่ทุกคนมีอยู่ในใจ การทำ blog เป็นช่องทางถ่ายทอดความคิดเห็นให้คนอื่นรับรู้
  • 6. ถ่ายทอดประสบการณ์ หรือไดอะรี่ออนไลน์ เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวในชีวิตประจำวัน หรือเป็นการเล่าเรื่องการเดินทางท่องเที่ยว เช่น http://www.terrystrek.com/
  • 7. โน้มน้าวใจผู้อ่าน ลักษณะนี้เป็นการโฆษณาชวนเชื่อ แต่กรณีแบบนี้เป็นการขายความคิด อย่าง blog สำหรับคอการเมืองอาจจะมีฝ่ายซ้าย - ฝ่ายขวา, สายเหยี่ยว ­- สายพิราบ จะพบว่าเนื้อหาจะเป็นการโพสต์โจมตีฝ่ายตรงข้าม แล้วก็สนับสนุนแนวความคิดของตนเอง

  • link:

http://blog.sanook.com/DesktopModules/MIH/Blog/blogview.aspxtabID=0&alias=ratsadaphorn20&mID=771771&ItemID=205898